ความกล้าหาญ ภาพยนตร์สงครามเรื่องปัจจุบัน สร้างขึ้นมาจากหนังสือขายดิบขายดีที่ได้รับการชื่นชมอย่างยิ่ง
ความกล้าหาญ เรื่องดิเอาท์โพสต์ เรื่องราวความกล้าหาญชาญชัย ของคนประเทศอเมริกา ที่ไม่ถูกบอกเล่า ดิเอาท์โพสต์ แอน อันโทรน สตอรี่ ออฟ อเมริกัน วาโลว
มาก่อนแสดงนำโดยสก๊อต อีสต์วูด ติดอยู่เลบ แลนดรี โจนส์ และก็ออร์แลนโด้ บลูม เอาท์โพสต์เป็นบันทึก ความจริง ของทหารอเมริกัน 54 นาย ที่มีชัยต่อ การจู่โจมครั้งใหญ่
โดยองค์การก่อการร้าย โคนลิบานกว่า 400 คนเพียงแต่ไม่กี่วันก่อน ที่พวกเขาจะถูกส่งออก จากพื้นที่บอบบาง ของประเทศอัฟกานิสถาน จากที่รู้จักกันดี ในชื่อ สนามรบคัมเดช
ว่าเป็นการทำสงคราม ของคนอเมริกัน ที่นองเลือดที่สุด ในการทำศึกอัฟกานิสถาน กองกำลังบราโว3-61 ซีเอวี เปลี่ยนเป็นหน่วยที่ได้รับเข็มกล้า หาญชาญชัยเยอะที่สุด
ท่ามกลางความ ไม่ถูกกันนาน 19 ปี หน่วยรบด่านนอกคีทติ้ง ซึ่งแรกเริ่มผลิตขึ้น เพื่อประชาชน มีส่วนร่วม ในแผนการปรับปรุง ชุมชน ตั้งอยู่ทางตะวันออก เฉียงเหนือของอัฟกานิสถาน
ข้างล่างของเทือกเขา ชันสามลูกห่าง จากชายแดนประเทศปากีสถาน เพียงแค่14ไมล์ จำเป็นต้องพบเจอ กับภัยรุกราม โดยตลอดจากการจู่โจม โดยกรุ๊ปโคนลิบาน
ทำให้ทหารสหรัฐอเมริกา ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ตรงนั้น อยู่ในภาวการณ์เสี่ยง อันตรายยิ่งยวด โดยตลอด สำหรับเพื่อการต่อสู้ ที่กล้าหาญชาญชัยที่สุด ของอเมริกาในสมัยนั้น
พลทหารสองคนหมายถึง นายสิบสิบตรี คลินต์ โรเมชา แล้วก็ข้าราชการชำนาญ ไท คาร์เตอร์ ได้รับเหรียญเกียรติยศ โดยนับเป็นครั้งแรกในรอบห้าสิบปี ที่ทหารทำหน้าที่ผู้รอดตาย
สองนายได้รับการยินยอมรับ ด้วยรางวัล ดังที่กล่าวมาข้างต้น ในสนามรบเดียวกัน เมื่อเหล่าทหารขั้นสูงตกลงใจ ที่จะปิดฐานลงสุดท้าย กลุ่มตอลิบานรู้เข้า และก็ตกลงใจ ประกาศศักดิ์
โดยจู่โจมด่านนอก ด้วยอาวุธปืนขนาดเล็ก ระเบิดจรวด ปืนกลหนัก และก็ปืนไรเฟิลบี-10แบบไม่มีแรงถอย ฆ่าทหารอเมริกันแปดนายแล้ว ก็เจ็บอีกหลายสิบนาย การจู่โจมคราวนี้
เป็นการจู่โจมกองกำลัง ด่านนอกของกองกำลังสหรัฐอเมริกา ที่ทรามที่สุดกาลครั้งหนึ่งในตอนการรบ รีวิวหนัง
ก่อนที่จะมาเป็นหนังยาวเรื่องเอาท์โพสต์
ในเวลาที่พอล ทามาซี่ ผู้อำนวยการผลิตของเรื่องกำลังกดเลื่อน ช่องทีวีไปเรื่อย ในคืนวันหนึ่ง เขาก็ได้ดูสารคดีเรื่อง วีรบุรุษคนประเทศอเมริกา:คลิ้นท์ โรเมชา
ที่ผลิตโดยสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น เขาก็รู้เท่าทันครั้งเลยว่า เรื่องราวของด่านนอกเล็กๆไกลห่างนี้ จะเป็นภาพยนตร์เรื่องเลิศ ภายหลังจากค้นคว้า อย่างรวดเร็ว เขาก็เจอหนังสือดิเอาท์โพสต์
เรื่องราวความกล้าของคนอเมริกัน ที่ผิดบอกกล่าว โดย เจค แทปเปอร์ ที่สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น และก็ติดต่อเจคเพื่อขอสิทธิ์ ในประเด็นนี้ หนังสือบอกเล่า เรื่องราวในมุมที่ใหญ่มาก
ยิ่งกว่าครอบคลุมเวลาสามปีรวมทั้งมีตัวละครมาก พอลและก็เอริครู้ดีว่าพวกเขามีความท้าอย่างยิ่งสำหรับในการจะกลั่นรวมเรื่องราวนั้นให้ให้เกียรติแก่บุคคลเยอะมากๆ ที่สุด
เท่าที่จะทำเป็นในช่วงสามปี ตอนที่ย้ำเรื่องราวส่วนตัวของทหารแปดนายที่เสียชีวิต นักแสดงตัวหนึ่งที่เด่นสะดุดตาคู่คิดนักประพันธ์เป็นร้อยโทเบ็น คีทติ้ง เขาเป็นที่ชมเชยของทุกคน
ซึ่งไม่ใช่แค่ทหารของเขาแค่นั้นแต่ว่ายังรวมทั้งคนภายในพื้นที่ แล้วก็เขามีผลกระทบในช่องเขานั้นอย่างยิ่ง สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือเขาอยู่ในเรื่องราวส่วนแรกๆก่อนเรื่องราวของด่านนอก
ที่การต่อสู้เกิดขึ้นข้างหลังเขาจากไปแล้วสามปี คนเขียนมีความรู้สึกว่า เพื่อจะให้ฐานรากแก่ภาพยนตร์ พวกเขาจำเป็นจะต้องรวมเรื่องราวของคีทติ้งเข้าไว้ด้วย
เนื่องด้วยเหล่าทหารให้เกียรติเขามากมายจนถึงตั้งชื่อด่านตามเขา พวกเขาตกลงใจที่จะประหยัดเวลาสามปียอดเยี่ยมปี ซึ่งแปลว่า ร้อยโทคีทติ้งจะอยู่ในกรอบเวลาเดียว
กับคลินท์ โรเมชา ในขณะในชีวิตจริงทั้งคู่คนไม่เคยเจอกัน หนังสือเล่มนี้มีความยาว500หน้า และก็ลงรายละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์ของทหาร4กองร้อยตั้งแต่ปี2549ถึง2552
ร็อดรวมทั้งคนเขียนบทได้จับหนังสือที่มีเนื้อหาสลับซับซ้อน รวมทั้งกลั่นเอาความเป็นจริงที่สำคัญออกมาเกี่ยวกับเหล่าทหารหาญผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ด่านนอกคีทติ้งรวมทั้งเหตุไรพวกเขาก็เลยไปอยู่ตรงนั้น
การดูแลหนังสงครามทีแรก ผู้กำกับโด่งดัง ร็อด ลูรีหลังจากจบการศึกษาจากเวสต์ พอยท์ รวมทั้งเข้ารับราชการในกองทัพสหรัฐอเมริกา ภูมิหลังทางด้านทหารของลูรี
จะผสมผสานอย่างพอดีกับประสบการณ์ของเขาในฐานะผู้กำกับ รวมทั้งทำให้เขาเป็นตัวเลือกที่เพอร์เฟ็คสำหรับเอาท์โพสต์ เนื่องจากว่าร็อด ลูรี ไม่เคยทำหนังที่พูดถึงเรื่องของกองกองทัพเลย
ฉะนั้นเมื่อได้รับหน้าที่ให้นำเสนอเรื่องราวของการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่แล้วก็สำคัญที่สุดของการรบอัฟกานิสถาน เขาก็เลยตกลงใจควบคุมโดยทันที “ผมเป็นทหาร และก็ผมรักสหายทหาร
อีกทั้งชายแล้วก็หญิง” ลูรีกล่าวต่อ “สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมพอใจ หนังหัวข้อนี้มากยิ่งกว่าหนังสงคราม เรื่องอื่นๆก็คือ มันไม่ได้เกี่ยวกับหน่วยรบพิเศษ หน่วยโจมตี หรือสาย มิได้เกี่ยวกับศิลปินดัง
หรือข้าราชการพิเศษ แต่ว่าเกิดเรื่องราว ของผู้ชายกรุ๊ปหนึ่ง ที่มิได้ผ่านการฝึกอบรมพิเศษ แค่เพียงฝึกซ้อมระดับปกติปกติ พวกเขามิได้พร้อมที่จะต่อสู้ในระดับเดียวกับหน่วยรบพิเศษ
หน่วยรุกราน พวกเราเรียกพวกเขาว่ากลุ่มคำราม กลุ่มคำรามนี้ต่อสู้กับการสู้รบคราวนี้อย่างกล้าหาญแล้วก็แกร่งไม่แพ้ใครกันแน่ กรุ๊ปชายปกติกลุ่มนี้ได้รับแรงพลังจากความรักที่มีต่อกัน”
ร็อด ลูรีได้ตกลงใจอย่างสร้างสรรค์ในขั้นแรกว่าจะทำถ่ายทำส่วนมากในแบบที่เรียกว่า“ออเนอร์ส” (ซึ่งก็คือ ไม่มีการตัดต่อ) ซึ่งถูกต้านในตอนแรก แม้กระนั้นท้ายที่สุดกลายเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยม
สำหรับภาพยนตร์หัวข้อนี้ ถ้าพวกเขาทำสำเร็จ คำตอบในที่สุดจะดำรงอยู่กับนักแสดงผ่านทางประสบการณ์การต่อสู้อย่างสมจริงสมจัง “การเปลี่ยนฉากในรูปภาพยนตร์ทำให้รู้สึกหลบลี้ไกลห่าง
จากประสบการณ์ความเหมือนจริง” ลูรีชี้แจง “พวกเราไม่อยากให้ผู้ชมรู้สึกหลุดออกไปอย่างงั้น ต้นแบบการถ่ายทำที่พวกเราเลือกมีการเสี่ยงมากมายเหตุเพราะบางทีอาจมีการบกพร่อง
รวมทั้งอาจมีความช้า พวกเรามีการคิดแผนเยอะแยะแต่จบเป็นว่าย่นระยะเวลาและก็เงินดีเสียอีก และก็ในตอนท้ายผู้ชมก็ได้ความรู้สึกเหมือนจริงเปรียบเสมือนอยู่ในฉากนั่นเอง ผู้หญิงวัยใส