รีวิวอไลพ์ โดดเดี่ยวผู้หนีซอมบี้

รีวิวอไลพ์

รีวิวอไลพ์ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเทรนด์หนัง K-Zombie หรือซอมบี้สัญชาติประเทศเกาหลีนั้นมาแรงมากมายภายหลังที่ Train to Busan

รีวิวอไลพ์ เป็นคนเริ่มเทรนด์หนังดังกล่าวข้างต้นให้ได้รับการยินยอมรับไปอีกทั้งแหลมประเทศเกาหลีรวมถึงประเทศอื่นๆทั่วทั้งโลกไม่ว่าจะเป็นหนังซอมบี้ย้อนยุคเป็นต้นว่า Rampant รวมถึงซีรีส์เรื่องดังอย่าง Kingdom รวมทั้งภาคต่อในจักรวาล Train to Busan อย่าง Peninsula

Alive เป็นหนังซอมบี้สัญชาติเกาหลีเรื่องปัจจุบันที่ดัดแปลงมาจากภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง Alone ในปี 2019 ซึ่งเฮฮาตรงที่ว่าเวอร์ชั่นฮอลลีวูดยังไม่ทันเข้าฉาย เวอร์ชั่นประเทศเกาหลีกลับได้ออกสู่สายตาผู้ชมก่อนซะงั้น

เหตุในหนังบอกเล่าเรื่องราวของโอจุนวู (ยูอาอิน) เด็กหนุ่มในวัยที่ติดเกมคอมพิวเตอร์และก็โซเชียลมีเดีย ซึ่งตื่นมาในรุ่งเช้าวันหนึ่งและก็พบว่าผู้คนข้างนอกอพาร์ทเมนท์แปลงเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสที่เปลี่ยนแปลงให้คนแปลงเป็นซอมบี้กระหายเลือด

รีวิวอไลพ์

ระหว่างที่คิดไม่ออกแล้วก็บากบั่นหาทางมีชีวิตรอด เขากลับทำให้พบว่าที่จริงแล้วเชื้อไวรัสดังกล่าวระบาดไปทั่วกรุงโซลแต่ว่ายังมีกรุ๊ปผู้รอดตายรวมทั้งสำนักข่าวบางที่ที่ยังสามารถรายงานข่าวสารได้ตามธรรมดา เขาก็เลยรอความช่วยเหลือจากทางการจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

แต่ทว่ายิ่งเวลาผ่านไปนานมากหลายวัน เสบียงแล้วก็ของกินของโอจุนวูเริ่มลดลงลง จนกระทั่งเขาหิวโซและก็ตกลงใจจะฆ่าตัวตาย แต่ว่าวินาทีที่เขากำลังจะแขวนคอตนเอง รีวิวหนัง

โอจุนวูกลับทำให้พบว่ามีผู้มีชีวิตรอดที่อาคารตรงกันข้ามพยายามจะส่งสัญญาณให้เขาหยุดคิดทำร้ายตัวเองแล้วก็เอาชีวิตรอดถัดไป หญิงสาวคนซึ่งก็คือคิมยูบิน (พัคชินฮเย) เป็นหญิงสาวที่ใช้เครื่องไม้เครื่องมือแคมป์ปิ้งและก็กล้องส่องทางไกลสำหรับในการเอาชีวิตรอดมาในตอนหลายวันที่ผ่านมา

ด้วยความหวังที่ เกิดขึ้นในจิตใจ ของโอจุนวู ที่พบว่ายังมี เพื่อนมนุษย์มี ชีวิตรอดอยู่ ทำให้เขาตกลงใจยืนขึ้นมามีแรงฮึดสู้อีกรอบ สองวัยรุ่นก็เลยบากบั่นร่วมมือกันสำหรับในการเอาชีวิตรอดไปจากเหตุการณ์สุดไม่ดีนี้ให้ได้

จริงๆแล้ว Alive นั้นจัดได้ว่าเป็นหนังที่ใช้เบื้องหลังอยู่แค่เพียงอพาร์ทเมนท์เพียงแต่พื้นที่เดียว สำหรับในการขับเรื่องราว แม้กระนั้นตัวหนังเน้นสำหรับเพื่อการตรวจจิตใจของนักแสดงอย่างโอจุนวูมากยิ่งกว่า

ว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไร กับชีวิตอันแสนสิ้นหวัง ของตนเอง ในวูบแรกเขานึกถึงครอบครัวและก็อยากจะมีชีวิตรอดถัดไป แต่ว่าเมื่อเขาคนพบว่าความคาดหมายนั้นบางทีอาจจะไม่มีอยู่จริง ความตายด้วยการฆ่าตนเองบางครั้งก็อาจจะเป็นลู่ทางที่ดีมากยิ่งกว่าการที่ตัวของเขาเองจำเป็นจะต้องเปลี่ยนร่างเป็นซอมบี้รายถัดไป

รีวิวอไลพ์

ถึงแม้ Alive จะเป็นหนังซอมบี้สูตรสำเร็จคะที่ไม่ได้มีอะไรเหนือการคาดการณ์ แต่ว่าสารห้อยท้ายลึกๆแล้ว มันเอ๋ยถึงว่าไม่มีมนุษย์คนไหนกันแน่ต้องการจะเหลือเป็น “โดดเดี่ยวผู้น่ารัก” แบบโอจุนวูบนโลกใบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่น่าเชื่อเช่นเดียวกันว่า ประเทศเกาหลีจะลักขโมยวัฒนธรรมซอมบี้ ของฝั่งตะวันตก ให้เปลี่ยนเป็นแนวหนัง ส่วนตัวของตนแล้วส่งเอาไปขายต่างแดนได้อีก เริ่มจากคลื่นความชื่นชอบลูกใหญ่จากฝั่งหนังอย่าง Train to Busan รวมทั้งสืบต่อด้วยคลื่นชนลำดับที่สองจากฝั่งซีรีส์ที่มีซอมบี้ย้อนยุคทางเน็ตฟลิกซ์อย่าง Kingdom ที่ความชื่นชอบสูงมาอีกทั้ง 2 ซีซัน

ก็เลยไม่แปลกเลยที่เน็ตฟลิกซ์จะจับกระแสนี้ ได้แล้วก็ดึงหนังฉายโรงอย่าง Alive มาเติมเต็มสิ่งที่มี ความต้องการของผู้ชมสตรีมมิ่งของตัวเองได้อย่างทันท่วงที

ถึงแม้ผู้กำกับ อิลโช จะพึ่งจะได้เปิดตัวกับหนังยาวหัวข้อนี้เกิดเรื่องแรกก็ตาม แม้กระนั้นก็ได้ดาราหนังแบบใหม่ฝีมือยอดเยี่ยมที่เคยผ่านงานหนังของผู้กำกับเทพที่ประเทศเกาหลี อีชางดง อย่าง Burning มาแล้ว อย่าง ยูอาอิน มาตามติดคู่กับศิลปินสาวที่ส่งผลงานคุ้นตาจากซีรีส์ Memories of the Alhambra ทางเน็ตฟลิกซ์อย่าง พักเคยชินฮเย ก็เป็นแม่เหล็กสำคัญที่เสริมกับพลอตหนังที่ว่าด้วยชายหนุ่มติดอยู่ในห้องตัวเองเวลาที่โลกด้านนอกกำลังระส่ำระสายใหญ่ ให้ยิ่งน่าดึงดูดขึ้นไปอีก

จริงๆความเยี่ยมของหนังประเด็นนี้เป็น การเซ็ตเรื่องราวให้เกิดขึ้นในห้อง แบบเหตุการณ์ที่ผู้แสดงเป็นหนูติดจั่น ออกภายนอกห้องทุกข์ยากลำบากเพราะเหตุว่ามีฝูงซอมบี้รายล้อม ในขณะเหตุการณ์ในห้องก็คาดคั้นราวกับห้องกับที่มีน้ำเอ่อสูงมากขึ้นเรื่อยราวกับในหนังเผชิญภัย เนื่องจากเริ่มที่เสบียงกรังมีจำกัด ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้นยังเกิด เหตุราวให้เสบียงอาหารหายไปไวขึ้นอีก

แล้วหลังจากนั้น การรับรู้เหตุการณ์ต่างๆ ก็เบาๆถูกลดลง เรื่อยเสมือนผู้ ที่ถูกปิดผัสสะต่างๆครั้งละอย่าง ตั้งแต่ ห้ามแผดเสียงดัง สัญญาณโทรศัพท์มือถือที่หาย แล้วก็เริ่มลุกลามไปสู่อินเทอร์เน็ต ทีวี กระทั่งท้ายที่สุดก็เกือบจะไม่เคยทราบอะไรโลกด้านนอกอีกเลย นักแสดงจะต้องดัดแปลงสิ่งที่เราเองมีเอาชีวิตรอด แล้วก็เป็นหนังที่ผู้แสดงใช้ประโยชน์จากโดรนได้คุ้มมากเรื่องหนึ่ง

รวมทั้งด้วย ในช่วงเวลาที่บีบ ให้ตัวนำจะต้อง ทำอะไรสักอย่าง ก่อนจะอดตาย เขาก็ได้เจอ กับคนรอดพ้น จากความตายอีกผู้ที่อยู่อีกฝั่งตรงข้าม ก็ทำให้หนัง เล่นเหตุการณ์ ตลอดไปได้อีกขยัก แต่ว่าจุดที่โชคร้ายก็ มาจากตรงที่ หนังเริ่มทิ้ง ไอเดียประเด็นการเอาชีวิตรอดในห้องปิดตาย ไปนี่เอง การเช็ดกปิดตาปิดหูปิด โลกด้านนอกที่อุตส่าห์ สร้างมาได้น่าดึงดูด ก็ยังขยี้ใช้ได้ไม่สุดกำลังดี

ซึ่งปัญหานี้ในถัด มาที่ผู้แสดงนำชาย พบนางเอกและ จากนั้นก็ทวี ความน่าวิตกขึ้นไปอีก เนื่องจากว่าหนัง จำต้องไปเล่นท่าแปลกจากหนังเอาชีวิตรอด เปลี่ยนเป็นหนังบู๊ 1 ต่อ 100 ที่มองเกินจะเชื่อ

อีกทั้งการออก แบบฉากหนีตายพร้อม สู้กับฝูงซอมบี้ ก็มองไม่ค่อย หนักแน่นพอดีนัก ความไว้วางใจ ต่อหนังเลยยิ่งอ่อนแอลงไปอีก นี่ยังไม่นับภาวะ ว่าผู้ที่ติดอยู่ ในห้องเป็นเดือนๆ(นึกภาพคนกักตัวอยู่บ้านตอนวัววิด-19 ที่ห่วยกว่าตรง ที่ไม่มีของกินดีๆมากพอเต็มมื้อมาเสิร์ฟเรื่อย) แล้วจะยังมอง ไม่ค่อยอิดโรย แถมยังแข็งแรงฟิตเปรี๊ยะ ได้ขนาดนั้นอีก

แต่ว่าในความ ที่คิดแบบฉากถัดไป จะเป็นอะไรได้อีก ไปเรื่อยที่บางที อาจสร้างรูแหว่งในบท รวมทั้งการเปลี่ยน แนวหนังไปเรื่อยถึง 3 ครั้งจากเอาชีวิตรอด ห้องปิดตาย เป็นบู๊ระห่ำ เพื่อช่วยคุณ กระทั่งไปถึงองก์ด้านหลังที่เปลี่ยน เป็นดราม่า เขย่าขวัญจิตวิทยา ที่ทำให้หนังไม่ค่อย เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันกันนัก และก็แผนภูมิ ความมันก็ไม่ค่อย ไต่เจริญนักในองก์ด้านหลัง

อย่างไรก็แล้ว แต่หนังก็วางตัว เป็นหนังซอมบี้ ที่มองง่าย เข้าใจง่ายไม่สลับ ซับซ้อนมากมาย เหมาะสมกับ การดูเพื่อพักเอาสนุกสนานเอามัน แบบไม่เครียด จัดเกินความจำเป็น

ซึ่งบางทีอาจเป็นจุดเด่น ที่พอให้ยกโทษ จากการที่ มันมิได้ฉายโรงและก็ ลงสตรีมมิ่งโดยทันที แล้วก็ว่ากันแบบแฟร์ๆในความไม่คงเดิมของหนัง ก็ยังมองกลมมอง อิ่มมองพอเพียง มีโอกาสอย่าง มากกว่าภาคต่อของ Train to Busan อยู่หลายขุมอยู่

Share:

Author: admins