คุณชายใหญ่ ตระกูล “วงษ์คำเหลา” เป็นเครือญาติใหญ่ที่สืบสายกันมายาวนาน รวมทั้งภายหลังแต่งงานมาระยะหนึ่ง
คุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่ กับ พิรมล ก็เริ่มถูกบีบคั้นจากท่านบิดาให้รีบมีผู้สืบสกุลเพื่อจะได้รับมรดกก้อนใหญ่แล้วก็สืบทอดตระกูลวงษ์คำเหลาถัดไป แม้กระนั้นไม่ใช่ทุกคนจะเห็นด้วย หญิงน้อยกับอนุรัตน์ คู่หมั้นคู่หมาย ได้คิดแผนกำจัดพิรมผุดผ่องกไปจากบ้าน
รวมทั้งทำทุกๆอย่างไม่ให้ทั้งคู่คนมีเวลาทำลูกกัน สถานะการณ์วุ่นวายดำเนินไปพร้อมด้วยความขบขันของคนภายในเครือญาติ แม้กระนั้นนอกเหนือจากนั้นกลยุทธ์ร้ายของใครสักคนที่หลบซ่อนอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังก็เบาๆเผยขึ้นอย่างช้าๆคุณผู้ชายใหญ่กับพิรมลจำเป็นที่จะต้องพร้อมใจกันกันผ่านปัญหาแล้วก็นำพาเชื้อสายวงษ์คำเหลาให้อยู่ยั้งยืนยงถัดไปให้ได้
หนังของ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา หรือ หม่ำ จ๊กมก นับตั้งแต่เขาเริ่มมากำกับหนังใน บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม เมื่อปี 2547 บางทีอาจจำแนกประเภทแนวหนังได้ 3 กรุ๊ป เป็นแนวแอ็กชัน (บอดี้การ์ดฯ 1-2, จั๊กกะแหล๋น) แนวดราม่านำเฮฮาและก็มักมีเบื้องหลังในปัจจุบัน (กิน เดียว หัวเหลี่ยม หัวแหลม, ใหม่กะกิน โดนกะโดน) แนวขบขันนำดราม่าแล้วก็มักมีเบื้องหลังย้อนยุค (แหยม ยโสธร 1-3, วงษ์คำเหลา, ทาสรักอสูร และ ขุนบันลือ)
แล้วก็บางทีอาจนับอีกเรื่องหนึ่งที่แยกผู้เดียวออกมา เป็นแถวทดสอบเป็น โป๊ะแตก ที่เป็นหนังซ้อนหนังเบื้องหน้าเบื้องหลังการถ่ายทำออกแนวม็อกคูดราม่า ซึ่งส่วนตัวมีความหมายสำหรับในการดู กิน ในฐานะคนทำหนังที่มีมันสมองไม่ธรรมดาอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแค่นักเอนเตอร์เทนที่เป็นภาพจำของเขาเพียงแค่นั้น รีวิวหนัง
แม้กระนั้นจะอย่างไรก็แล้วแต่จากที่ว่ามาดูเสมือนแนวหนังที่ไปถึงเป้าหมายด้านความชื่นชอบและก็รายได้ ในทางความคุ้มราคาการลงทุนสูงสุดของ กิน ก็คือ หนังแนวเฮฮานำดราม่าที่มีเบื้องหลังย้อนยุคโน่นล่ะ ยิ่งงานสมัยข้างหลังยิ่งแน่ชัดสำหรับเพื่อการใช้คอนเทนต์ฟาดศีรษะเข้าบ้าน ระดมสรรพมุกที่ทราบว่าถูกอกถูกใจผู้ชมคนประเทศไทยทั่วๆไปแน่นอนจากประสบการณ์ช้านานในแวดวงตลกขบขัน
รวมทั้งรายการเพลิดเพลินทีวี แล้วก็ใช้กลเม็ดต่างๆลดทุนการสร้างแบบหวังผลว่ายังไงก็ผลกำไรแน่ๆ ซึ่งตราบเท่าที่มันยังถูกอกถูกใจผู้ชมคนประเทศไทยทั่วๆไป มันก็ไม่ใช่ความผิดพลาด เนื่องจากผู้ใดกันแน่ต้องการจะลงเงินลงแรงแล้วขาดทุนกันล่ะ
สำหรับ คุณชายใหญ่ เราเห็นกระจ่างเจนว่าหนังยกจุดแข็งด้วยการที่เป็นหนัง (เกือบ) โชว์โดดเดี่ยวของกินที่เล่นเป็น 6 นักแสดงในหนังเรื่องเดียว ซึ่งทำให้ชักชวนระลึกถึง เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ ที่เคยทำเอาไว้ภายในหนัง The Nutty Professor ที่มากถึง 7 ผู้แสดง ด้วยการแต่งเมกอัปที่แตกต่างอีกทั้งเด็ก คนแก่ คนวัยแก่ ทั้งหมดศชายแล้วก็หญิง
ซึ่งเป็นการเล่นซ้ำแบบตั้งใจในลักษณะเดียวกัน พวกเราไม่ทราบว่าปัญหาเรื่องข้อกำหนดปริมาณคณะทำงานในตอนเหตุการณ์โรคระบาดทำให้กินคิดไอเดียนี้ออกมา หรือเนื่องจากความต้องการท้าตนเองเป็นข้อนำกันแน่ แม้กระนั้นอย่างไรก็ตามมันก็ซ้ำเติมให้มีความเห็นว่าเขาเป็นผู้ที่มีไฟรวมทั้งความคิดใหม่ๆมิได้ย่ำเท้าการบรรลุผลแบบฟาดศีรษะเข้าบ้านอย่างที่คนใดกันคิด
แต่หนังก็เผชิญปัญหาหนักอยู่ไม่ใช่น้อย เมื่อการร่วมฉากเดียวกันของหลายผู้แสดงนั้น ผู้ผลิตเลือกที่จะใช้มุมกล้องถ่ายภาพหลอกให้เยอะที่สุดเพื่อออมทุนสำหรับเพื่อการทำวิธีพิเศษซ้อนภาพ โน่นทำให้หนังกว่า 80% เป็นภาพวัวลสอัป (หรือเป็นอย่างมากสุดก็ภาพขนาดครึ่งท่อน) ของนักแสดง ที่มองติดๆกันแล้วทำเอารู้สึกอึดอัดตาม มากพอที่จะทำให้ไม่ขำกับมุกเบสิกๆอย่างพวกเฮฮาเจ็บตัวหรือคำสบถที่บางทีอาจสำเร็จมาก่อนขณะที่ภาษาภาพให้ช่องว่างผู้ชมมากยิ่งกว่านี้ รวมผลงานจากอดีต
ในขณะภาพกว้างของหนังที่เหลือนั้น กึ่งหนึ่งก็นำไปใช้เป็นการบอกสถานที่ (Establish Shot) ซึ่งแทบมีอยู่ภาพเดียวเป็นภาพหน้าคฤหาสน์วงษ์คำเหลา แบบยามเช้าบ้าง เที่ยงตรงบ้าง แพนกล้องนิดนึงบ้าง กว่าสิบครั้ง ซึ่งว่ากันตามจริงอีกทั้งเรื่องก็มีฉากหลักอยู่เพียงแค่ 2 ที่เพียงแค่นั้น คนใดกันที่แยกไม่ออกขนาดมีความคิดว่าควรจะมีภาพเปิดตัวทุกหน ก็คงจะมีเพียงแค่ชายน้อยในเรื่องเพียงแค่นั้นล่ะ
ปัญหาอีกอย่างที่ตามมา เป็นมุกสดที่เป็นทางถนัดของกิน ก็ถูกบีบให้หายไป เพราะเหตุว่าการเล่นรับส่งมุกกับตนเองซึ่งจำต้องแยกถ่ายครั้งละครั้ง มันจะต้องใช้บทที่ถูกต้องแล้วก็ดีโดยไม่ต้องบากบั่นดิ้น
ซึ่งก็ไม่เหมาะสมกับมุกที่จำเป็นต้องใช้เคมีเหมาะส่วนตัวเฉพาะหน้าแบบที่กินทำอีก และไม่เพียงแต่กินเพียงแค่นั้นที่เตะตัดขาความชำนาญตนเอง ดาราหนังคนอื่นก็ถูกกรอบจำกัดให้เล่นได้น้อยกว่าประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าง นาย เดอะคอมมีเดียน ที่มารับบทบาทอนุรัตน์ คู่หมั้นคู่หมายของหญิงเล็กนั้น เป็นการเอามาใช้ที่เสียของที่สุดในหนัง
ผู้ที่จะแสดงแล้วเอาตัวรอดในโพรดักชันที่ความจำกัดมากอย่างนี้ ก็เลยเป็นสายแสดงที่โอเวอร์เล่นใหญ่เล่นล้นแบบไม่ต้องปูจะต้องตบอะไรมากมายอย่าง บทหญิงรับใช้ของหญิงเล็กนาม อีเอื้อง (กานติเตียนมา นันคำ) หรือบทขี้ข้านางเอกของ หนูเล็ก ซึ่งว่ากันตามจริงขบขันแบบงี้มันก็มิได้ว้าวอะไร มองนานไปก็ชาชินเสียมากกว่า เหมาะสมกับคนเส้นตื้นเป็นพิเศษเพียงแค่นั้น
อย่างไรก็ดี ไม่สามารถที่จะกล่าวได้เลยว่านักแสดงแต่ละคนในประเด็นนั้นเล่นไม่ดี หมดทั้งตัวหลักอย่าง เบสท์ รักษาวนีย์ คำราชสีห์ บุตรสาวของอดีตกาลนักต่อยมีชื่อเสียง สมรักษ์ คำราชสีห์ ที่ถึงเวลาในหนังมากไม่น้อยเลยทีเดียวพอกับกิน ในบท พิรมล นางเอกของเรื่อง
แต่ว่าก็จำเป็นต้องตีกรอบตนเองให้แสดงเพียงแค่พอดิบพอดีบทหญิงสาวกุลสตรีโบราณที่ยิ้มแย้ม ไม่ค่อยพูด งอนงาม ตลอดจนตัวประกอบอื่นๆที่เล่นได้เพียงแค่ตามกรอบที่ให้พื้นที่ไม่พอของหนัง (จะมีที่กำหนดได้เต็มปากว่าเล่นไม่ดีก็มีเพียงแค่คน สองคนเพียงแค่นั้น)
รวมทั้งโดยยิ่งไปกว่านั้น กิน ที่ออกแบบคาแรกเตอร์ทั้งยัง 6 ตัวได้ผิดแผกแตกต่างอย่างแตะต้องได้ และไม่ยากเกินความจำเป็นสำหรับผู้ชมที่จะทราบดีว่ากินลอกติดอยู่แรกเตอร์มาจากคนมีชื่อเสียงผู้ใด
ซึ่งที่ว่ามาไม่ใช่งานง่าย แต่ว่าก็ติดกับดักสำหรับในการจำเป็นต้องเล่นรวมทั้งตัดต่อเคมีของอีกทั้ง 6 ค้างแรกเตอร์ให้ถูกกันในยามร่วมฉาก ซึ่งหลายทีไม่เป็นผลสำเร็จเลย ด้านการแสดงสรุปได้ว่าทุกคนบ่งบอกถึงชัดว่ามีประสิทธิภาพการแสดงที่มากล้นแค่ไหน กระทั่งรู้สึกเสียดายที่บทรวมทั้งการดูแลของหนังกดความรู้ความเข้าใจของพวกเขาเอาไว้แบบนี้
สำหรับเพื่อการเล่าก็เป็นงานถนัดของกินที่จะได้ความเคยชินของชาวไทย อย่างละครย้อนยุคที่ได้รับความนิยมๆมาทำล้อเลียน ทำให้ผู้ชมต่อติดได้ง่าย เนื่องจากว่าจั่วหัวมาก็เปรียบเทียบรู้เรื่องเรื่องราวได้เลย ถึงแม้ข้อบกพร่องที่มีซึ่งมันลอกสูตรแบบทายใจได้ทุกเม็ด ที่จำเป็นต้องอาศัยลูกเหนือคาดแซมมาเป็นระยะที่สร้างความเฮฮาจากความขัดแย้งกันจากที่เคยได้ยิน
แล้วก็ส่วนเสริมพิเศษที่หาได้จากในหนังกินก็คือ ความรักในหนังหลายสมัยหลายยุคของเขา ที่ทำให้ฉากอย่างการต่อสู้วัดพลังภายในแบบหนังชอว์บราคุณร์ การใช้พลังเวอร์วังแบบหนังอาร์เมน ความเชยแต่ว่ามีคลาสแบบภาพยนตร์ไทยโบราณ การเล่นสีศิลปในฉากเซ็ตสตูดิโอที่บาดตาจับตา สามารถผสมอยู่ในหนังของเขาได้แบบไม่ขัดหูขัดตา
และก็กับคุณผู้ชายใหญ่เองก็เป็นทำนองเดียวกัน พวกเรามิได้คาดหมายจะพบการดำเนินเรื่องที่แปลกใหม่ แม้กระนั้นเพียงแค่มันมีเหตุผลพอให้ใส่มุกตลกขบขันได้ก็พอเพียงแล้ว
ซึ่งหนังก็ทำสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมสำหรับเพื่อการวางเส้นเรื่องที่แข็งแรง แม้กระนั้นยังขาดพลังสำหรับการเสริมความเบิกบานใจที่บางทีอาจน้อยไปหน่อย หรือจืดชืดไปหน่อยในบ่อยครั้ง เอาว่าฉากที่หลุดขำมุ่งมั่นด้วยจังหวะที่แม่นมากๆก็มาเพียงแค่ฉากเดียวเสียด้วยซ้ำเป็นฉากรับลูกกระสุน ซึ่งก็บังเอิญไปมองเห็นในแบบอย่างมาก่อนอีก แม้กระนั้นอย่างไรก็ดีมั่นใจว่าหนังยังคงจะปฏิบัติงานกับแฟนๆกินแน่ๆ เนื่องจากว่ามันก็มิได้ด้อยมาตรฐานของเขาจนถึงไม่ถูกฟอร์มขนาดนั้น
ด้วยสิ่งที่ว่ามา ก็เลยจำต้องสารภาพว่าดูในฐานะผู้ที่ติดตามงานของกินแบบที่ดูได้ว่าเขาเป็น ประพันธแขนคนหนึ่ง (Auteur) นี่เป็นหนังอีกประเด็นที่โชว์สมรรถนะที่ไม่ธรรมดาของเขาให้มองเห็น บางทีอาจไม่ใช่งานชิ้นโบว์แดงทั้งยังด้านความรื่นเริงใจหรือความแปลกใหม่ แต่ว่าก็น่าดึงดูดในรูปภาพรวมแม้จะชมเชยคุณงามความดีเด่นของตัวกินเอง